พิสูจน์คำสอนวัดพระธรรมกาย ตอน ชวนให้หลงในสวรรค์จริงหรือ



ผ่านกาลเวลาไปเนิ่นนานพอสมควร โอกาสเพิ่งจะมีมา ที่จะได้เขียนถึงการนำชมนิทรรศการความรู้ที่แท้จริงเพื่อสันติภาพโลกกันต่อ ในห้องที่สาม ป่าสีทองหิมพานต์ สวรรค์ชั้นที่หนึ่ง ชื่อ จาตุมหาราชิกา

ซึ่งคำว่า จาตุมหาราชิกา นั้น มาจากคำสามคำรวมกัน คือ คำว่า "จาตุ" หนึ่งคำ คำว่า "มหา" หนึ่งคำ และคำว่า "ราชิกา" อีกหนึ่งคำ โดยแต่ละคำล้วนมีความหมาย เริ่มจากคำว่า จาตุ แปลว่า สี่ ต่อมาคำว่า มหา แปลว่า ยิ่งใหญ่ เป็นใหญ่ และสุดท้ายคำว่า ราชิกา แปลว่า ราชา

รวมสามคำเข้าด้วยกัน แปลว่า ราชาผู้เป็นใหญ่ทั้งสี่ ได้แก่ ผู้ปกครองเหล่าบริวารที่เป็น นาค ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ นั่นเอง ซึ่งเมื่อได้เข้าไปชมนิทรรศการ ก็จะได้เห็นภาพเบื้องต้นว่า นาค ยักษ์ คนธรรพ์ และครุฑ เป็นอย่างไร ทำบุญอย่างไร จึงได้มาเกิดเป็น นาค ยักษ์ คนธรรพ์ และครุฑ

โดยนิทรรศการของห้องนี้ เริ่มจากผู้ชมเดินออกจากประตูนรก ก็จะผ่านห้องทางเชื่อมจากนรก สู่สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ในห้องนี้เอง ผู้ชมก็จะได้พบกับ เทพบุตรเทพธิดาห้องทางเชื่อมนรกสวรรค์ ที่จะมาบอกเล่าเรื่องราวคร่าวๆ เกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย ก่อนที่จะพาเราก้าวเข้าสู่ป่าสีทองหิมพานต์ ดินแดนแห่งสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาต่อไป


และเมื่อผู้ชมก้าวเข้าสู่สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ก็จะได้พบกับเทพองค์แรก คือ ยักษ์ ที่เป็นเทวดาที่ต้องการการเซ่นสรวงจากพวกมนุษย์ ซึ่งมีทั้งยักษ์ชั้นสูง รูปร่างสง่างาม และยักษ์ชั้นล่างที่รูปร่างหน้าเกลียด ตัวดำ ผมหยิกและมีเขี้ยว ซึ่งเหตุที่ทำให้เกิดเป็นยักษ์ คือ ทำบุญไปด้วยจิตเจือด้วยโทสะ คือ ความมักโกรธ หงุดหงิด รำคาญใจไปด้วย

ยักษ์
ถัดจากยักษ์ ก็จะเจอเทพองค์ที่สอง คือ วิทยาธร เทพผู้มีฤทธิ์ เหาะเหินเดินอากาศ เวทมนตร์คาถา และวิทยาการต่างๆ ซึ่งมีทั้งพวกนักบวช มุนี ฤษี ดาบส นักพรต สิทธา โดยพวกนี้ ยามเป็นมนุษย์ จะเน้นการฝึกสมาธิแบบท่องบ่นคาถาอาคม เพื่อให้เกิดอิทธิฤทธิ์เวทมนตร์ต่างๆ จิตจึงผูกพันไปกับเวทมนตร์คาถาอาคมเหล่านั้น เมื่อละโลกแล้ว จึงได้มาเป็นวิทยาธร นั่นเอง


ต่อจากวิทยาธร ก็ถึงคิวของคนธรรพ์ เทพผู้ชำนาญในเรื่องขับร้อง ฟ้อนรำ ระบำ ดนตรี ศิลป และวรรณกรรม วันๆ เทพเหล่านี้ ก็จะเอาแต่ขับร้อง ฟ้อนรำ ขับกล่องดนตรี สนุกสนานเพลิดเพลินไปจนกว่าจะหมดบุญจากการเป็นคนธรรพ์ เหตุที่พวกเขาต้องมาเป็นคนธรรพ์ เพราะยามเป็นมนุษย์ ก็สั่งสมบุญ แต่จิตผูกพันไปด้วยกามคุณทั้ง 5 ได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ลุ่มหลงในการขับร้อง ฟ้องรำ ระบำ ดนตรี ศิลป วรรณกรรมต่างๆ ละโลกแล้ว ก็เลยมาเกิดเป็นคนธรรพ์

คนธรรพ์
และแล้วก็มาถึงคิวของศัตรูคู่อาฆาต คือ ครุฑกับนาค ที่ผูกเวรกันมาตลอด โดยครุฑ จะเป็นเทพที่มีร่างกายผสมระหว่างมนุษย์กับนก ส่วนนาคก็มีร่างกายเป็นงูใหญ่ แต่เทพทั้งสองก็สามารถแปลงเป็นมนุษย์ได้ ครุฑนั้น จะคอยจับนาคกินเป็นอาหาร แต่ก็จะสามารถจับกินได้เฉพาะนาคที่มีตระกูลต่ำกว่า หากมีตระกูลเสมอกัน ก็ไม่สามารถจับนาคกินได้

เหตุที่เกิดเป็นครุฑ เพราะทำบุญด้วยจิตเจือด้วยโมหะ ยึดมั่นถือตัว บ้าอำนาจ ยศ ชื่อเสียง ตำแหน่ง คำชื่นชม ส่วนเหตุที่เกิดเป็นนาค เพราะทำบุญด้วยจิตเจือด้วยราคะ คือ มีความเจ้าชู้มักมากในกาม ไม่เพียงพอในเพศตรงข้าม 


ครุฑ และนาค
และนี่ก็คือ คำสอนที่แท้จริงของวัดพระธรรมกาย ผ่านนิทรรศการความรู้แท้จริงเพื่อสันติภาพโลกที่ตรงตามพระไตรปิฎก ว่าสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง หรือชั้นจาตุมหาราชิกานั้น มากมายไปด้วยเทพบุตรเทพธิดาที่แม้สั่งสมบุญ แต่จิตเจือไปด้วยราคะ โทสะ และโมหะ แม้บุญส่งผลให้ได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ แต่ก็บังเกิดในภพภูมิที่ประณีตน้อย บางชนิดก็เป็นกึ่งเทพกึ่งสัตว์เดรัจฉาน ดังเช่น นาค ยักษ์ คนธรรพ์-วิทยาธร และครุฑ นั่นเอง

แล้วถ้าสวรรค์ชั้นที่สูงไปกว่าสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เช่น สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ขึ้นไปล่ะ วัดพระธรรมกายสอนอย่างไร สอนให้ลุ่มหลงในสวรรค์เหล่านั้นจริงหรือไม่ ติดตามได้ในตอนต่อไป





พิสูจน์คำสอนวัดพระธรรมกาย ตอน ชวนให้หลงในสวรรค์จริงหรือ พิสูจน์คำสอนวัดพระธรรมกาย ตอน ชวนให้หลงในสวรรค์จริงหรือ Reviewed by Kiat on 07:05 Rating: 5

2 ความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.