บทพิสูจน์ บอกบุญสร้างเจดีย์ และศาสนาวัตถุ ไม่ใช่กิจที่พระที่ดีควรทำ


เรื่องราว
การชี้นำสังคมของพระและโยมชาวพุทธยุคหลังๆ หลายๆ ท่าน ต่างให้ความเห็นเป็นไปในทำนองเดียวกันว่า พระทีดีนั้น กิจที่ควรทำ ควรมีแต่การพัฒนาจิตใจ ไม่ใช่พัฒนาวัตถุ การบอกบุญสร้างเจดีย์ สร้างสถานวัตถุต่างๆ นั้น ไม่ใช่กิจของพระที่ดี  พระสงฆ์ในยุคของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีต ก็ไม่ได้มีการไปบอกบุญให้ญาติโยมมาสร้างเจดีย์ และศาสนวัตถุ มีเพียงพระราชา และชนชาวเมืองพากันสร้างเจดีย์ถวายพระกันเอง ส่วนพระมีหน้าที่ปฏิบัติธรรม และเทศน์สอนพัฒนาจิตใจญาติโยมสาธุชน จึงจะเป็นกิจของพระที่ดี

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ต้องตัดสินกันด้วยหลักวิทยาศาสตร์ครับ นั่นคือ การพิสูจน์เนื้อหาธรรมะในพระไตรปิฎกว่า จริงหรือที่ว่า การร่วมด้วยช่วยกัน รวมถึงบอกบุญ สร้างศาสนวัตถุต่างๆ นั้น ไม่ใช่กิจที่พระควรทำ ควรปล่อยให้กิจของพวกโยมๆ ทั้งหลายจะดีกว่า ซึ่งถ้าบรรดาโยมๆ ทั้งหลาย ไม่เห็นความสำคัญ ก็เป็นอันจบ ไม่ต้องสร้างกัน วัตถุเหล่านี้ ประโยชน์ก็น้อย พัฒนาจิตใจ ดีกว่า อย่างนั้นหรือ

ดังนั้น ผมก็ลงมือแสวงหา และเป็นที่แน่นอน ดังภาษิต(ที่ผมตั้งขึ้นมาเอง) ว่า "ผู้หมั่นแสวงหา ย่อมค้นพบ" นั่นคือ ในพระไตรปิฎกที่มีเนื้อหาถึง 84,000 เรื่อง ก็มีเนื้อหาเรื่องนี้อยู่ด้วยเช่นเดียวกัน โลกนี้ไม่มีอะไรใหม่ ทุกๆ อย่างเกิดขึ้นซ้ำๆ กันเช่นนี้ มานานแสนนานแล้ว ไม่ว่ายุคนี้ หรือยุคไหน

เรื่องนี้เกิดขึ้นในยุคสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีต องค์ก่อนหน้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ที่มีพระนามว่า พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งหลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ยังประโยชน์ให้มหาชนจำนวนมาก ให้อาจหาญร่าเริงเบิกบานในธรรม ครั้นทรงปรินิพพาน มหาชนต่างมีจิตศรัทธาอยากสร้างเจดีย์เพื่อบูชาคุณแด่พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ได้บอกบุญชักชวนบริจาคทรัพย์คนละไม้คนละมือ สร้างเจดีย์กันอย่างขะมักขะเม้น

อ่านมาถึงตรงนี้ หลายท่านก็อาจจะคิดว่า นี่ไง มหาชนต่างคิดสร้างเจดีย์กันเอง บอกบุญกันเอง พระสงฆ์ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องเรื่องนี้หรอก บำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญา ไปอย่างเดียวก็พอแล้ว ก็ต้องขอบอกว่า ให้ติดตามเรื่องราวต่อไปก่อนครับ ซึ่งในครานั้น มหาชนได้ช่วยมือลงมือก่อสร้างเจดีย์กันคืบหน้าไปแล้วถึง 3 ทิศ คือ ทางฝั่งทิศใต้ ทิศตะวันตก และทิศตะวันตก แต่การก่อสร้างทางฝั่งทิศเหนือยังคืบหน้าไปได้น้อยมาก

ครั้งนั้นเอง พระอรหันต์ (ในตำราใช้คำว่า พระขีณาสพ ซึ่งมีความหมายเหมือนกันครับ) องค์หนึ่ง จำพรรษาอยู่ ณ ที่นั้น ท่านก็สังเกตเห็นว่า เวลาก็ล่วงเลยมาจนป่านนี้ แต่เจดีย์ฝั่งทิศเหนือยังไม่ได้ก่อสร้างเลย ท่านจึงเข้าไปสอบถามชาวเมืองว่า "พ่อชาวเมืองทั้งหลาย เพราะเหตุใด หน้ามุขฝั่งทางทิศเหนือของเจดีย์ จึงยังไม่ได้ก่อสร้างขึ้นเลย"

ชนชาวเมืองก็อธิบายให้ท่านฟังว่า "พระคุณเจ้าผู้เจริญ ทองคำที่จะนำมาใช้สร้างเจดีย์ มีเพียงพอที่จะสร้างได้แค่เจดีย์ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก เท่านั้นครับ แต่ทองคำที่จะใช้สร้างเจดีย์ฝั่งทิศเหนือ ยังไม่มีเลยครับ"

พระอรหันต์ผู้หมดกิเลสแล้ว ไม่มีกิจใดๆ ในทางโลกต้องกระทำอีกแล้ว ได้ฟังดังนั้น แทนที่ท่านจะบอกว่า "อ๋อ นั่นมันเป็นเรื่องของโยม ไม่ใช่เรื่องของพระ เป็นเรื่องทางโลก แต่อาตมาเป็นผู้พ้นโลกแล้ว งั้นอาตมาขอตัวไปปฏิบัติธรรมตามลำพังนะโยม ลาก่อน"

เปล่า ท่านไม่ได้พูดเช่นนั้นครับ แต่ท่านกลับบอกญาติโยมชาวเมืองนั้นว่า "ขอพวกท่านมิต้องเป็นกังวล อาตมาจักเข้าไปในพระนคร แล้วชักชวนญาติโยมในพระนคร ให้ช่วยกันบริจาคทองคำ มาสร้างเจดีย์บูชาคุณพระพุทธเจ้า เพิ่มเติม ให้สำเร็จ"

เมื่อท่านกล่าวอย่างนั้น แล้วก็เข้าไปสู่พระนคร กล่าวเชิญชวนมหาชนว่า "แม่และพ่อชาวเมืองทั้งหลาย ทองคำที่หน้ามุขแห่งพระเจดีย์ทิศเหนือของพวกเรา ยังมีไม่เพียงพอ ขอพวกท่านจงช่วยกันบริจาคทองคำ เพื่อสร้างพระเจดีย์บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้สำเร็จกันด้วยมือเราเถิด"

ชนชาวเมืองได้ฟังคำกล่าวของพระอรหันต์เช่นนั้น ก็พามาบริจาคทองคำสร้างเจดีย์กันตามกำลังศรัทธาของตน พระอรหันต์ท่านเดินบอกบุญไปจนถึงบ้านของนายช่างทอง แล้วท่านก็กล่าวเชิญชวนนายช่างทอง เหมือนที่ได้เชิญชวนชาวเมืองนั่นเอง แต่นายช่างทองกำลังทะเลาะกับภรรยาอยู่ พอเห็นพระมาโปรดแทนที่จะดีใจกลับไม่สบอารมณ์ ได้กล่าวขึ้นว่า "นี่เธอ เธอจงเอาตัวพระศาสดาที่ตัวเธอนับถือ ไปโยนทิ้งน้ำเสียเถิด"

ฝ่ายภรรยาเป็นผู้มีปัญญา ได้กล่าวให้สติกับสามีว่า "พี่ พี่โกรธฉัน ฉันไม่ว่าหรอก แต่พี่ไม่น่าไปลงกับพระพุทธเจ้า และพระสงฆ์ท่านเลย พี่สร้างกรรมหนักเสียแล้วนะ"

คำให้สตินั้นได้ผล นายช่างทองรู้สึกสลดใจ หมอบกราบแทบเท้าของพระอรหันต์ท่านนั่นเอง พลางร้องขอให้ท่านยกโทษให้ แต่พระอรหันต์ท่านได้บอกให้เขา ประดิษฐ์หม้อดอกไม้ทองคำสามหม้อ ไปบูชาเจดีย์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแทน แล้วจากไป นายช่างทองก็ได้ให้ลูกชายมาช่วยกันประดิษฐ์หม้อทองคำ ซึ่งมีแต่ลูกชายคนเล็กที่มาช่วยพ่อประดิษฐ์หม้อดอกไม้ทองคำในครั้งนี้
ด้วยวิบากกรรมที่เขากล่าวจ้วงจาบว่า ให้นำพระศาสดาไปโยนทิ้งน้ำ ทำให้ชาติปัจจุบันเขาต้องถูกโยนลงน้ำในช่วงเวลาที่เกิดมาถึง 7 ครั้ง แต่ด้วยบุญที่ถวายดอกไม้ทองคำ ทำให้ภายหลังเขาได้เป็นเศรษฐี นามว่า "ชฎิลเศรษฐี" นั่นเอง

เรื่องราวของชฎิลเศรษฐี และลูกชายทั้งสามคน ท่านใดอยากทราบรายละเอียดมากกว่านี้ก็อ่านต่อได้ในพระไตรปิฏกที่ผมมี Link ไว้ให้ตอนท้ายด้วยครับ แต่ที่จะมาสรุปประเด็นกันในตอนนี้ คือ

หากเป็นการสร้างศาสนาวัตถุเพื่อส่วนรวม ที่เป็นไปเพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง ยังประโยชน์ให้มหาชนทั้งหลาย สืบต่อไปแล้วล่ะก็ เป็นกิจของทั้งพระ และโยม ที่พึงกระทำครับ
ดังเช่นที่วัดพระธรรมกาย  สร้างมหาธรรมกายเจดีย์ หรือวัดอื่นๆ ที่ท่านสร้างเจดีย์ หรือศาสนาวัตถุอื่นๆเพื่อบูชาคุณพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังให้มหาชนได้มาศึกษาว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร ทำไมมีคนสร้างอนุสรณ์เพื่อระลึกนึกถึงท่าน แล้วพวกเขาทั้งหลายเหล่านั้น ก็จะได้ลงมือศึกษาและปฏิบัติธรรม แล้วได้ประโยชน์จากการปฏิบัตินั้น ทั้งแก่ตัวเอง ครอบครัว และสังคม นั่นเอง

หมายเหตุ พระไตรปิฎกเรื่องชฎิลเศรษฐี
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=36&p=33

บทพิสูจน์ บอกบุญสร้างเจดีย์ และศาสนาวัตถุ ไม่ใช่กิจที่พระที่ดีควรทำ บทพิสูจน์ บอกบุญสร้างเจดีย์ และศาสนาวัตถุ ไม่ใช่กิจที่พระที่ดีควรทำ  Reviewed by Kiat on 07:29 Rating: 5

4 ความคิดเห็น:

  1. เรื่องราวจากพระไตรปิฎกสอดรับถึงปัจจุบัน เป็นอกาลิโก ไม่จำกัดด้วยกาลจริงแท้
    พระมีหน้าที่ปฏิบัติธรรม และช่วยอำนวยประโยชน์ให้สาธุชนสร้างกุศล สมเจตนารมณ์การสร้างบารมีเพื่อเป้าหมายหมดกิเลส เข้าถึงธรรมเช่นเดียวกัน

    ตอบลบ
  2. การสร้างศาสนสถาน เจดีย์ทองคำใหญ่โตเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า มิใช่เป็นเรื่องใหม่ หรือเรื่องผิดแผกจากพุทธศาสนา เพราะในสมัยพระพุทธเจ้าก็เกิดขึ้น พระองค์ก้สนับสนุนให้บูชาด้วยวัตถุทองคำ สิ่งที่ดีเลิศ ดังนั้น หากวัดธรรมกายจะดำเนินตามเยี่ยงสมัยพุทธกาล เดินตามแนวทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นสิ่งพึงกระทำ และควรค่าแก่การสรรเสริญ เพื่อมำนุบำรุงให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองต่อไป

    ตอบลบ
  3. เรื่องวัดพระธรรมกายบอกบุญสร้างเจดีย์และศาสนวัตถุอื่นมันไม่ใช่เรื่องใหม่เลยเพราะไม่พระสงฆ์หรือโยมร่วมกันสร้างเพื่อทำนุบำรุงพระศาสนามันเป็นสิ่งที่ถูกที่ควรที่ประเสริฐมันไม่แปลกเลยและก็ทำกันทุกสมัยทุกวัดที่แปลกคือถ้าวัดพระธรรมกายทำไม่ว่าอะไรจะดีแค่ไหน..ก็ผิดงั้นซิ!! เข้าทำนองคบคนพาลๆพาไปหาผิด(หรือเปล่าน้า?):)

    ตอบลบ
  4. ผู้กล่าวหาหากตั้งธงไว้แล้ว ต่อให้เหตุผลควมจริงเพียงไร เขาก็จะกล่าวหาให้ร้ายเรื่อยไป
    โดยไม่มองสิ่งดีๆที่กำลังจะเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
    เนื่องจากเขาผู้นั้นไม่เคยปฏิบัติและพิสูจน์ด้วยตัวเอง

    ตอบลบ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.