พระดี คนดี ย่อมไม่มีคนระแวงและคนด่าว่า จริงหรือ

จากเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับวัดพระธรรมกาย และหลวงพ่อธัมมชโย ตั้งแต่เริ่มสร้างวัด มาจนกระทั่งถึงบัดนี้ ที่มีข่าวคราวการถูกกล่าวหา ใส่ร้าย และใส่ความมาโดยตลอด จนกระทั่งบัดนี้ ในขณะที่สายตาที่มองจากสังคมภายนอกที่ไม่เคยมาสัมผัสวัดพระธรรมกาย หรือ มาสัมผัสแต่เพียงผิวเผิน จะรู้สึกถึงความผิดแผกแตกต่างจากวัดอื่นๆ ที่พวกเขาเคยรู้จัก ความรู้สึกหวาดระแวงว่า วัดนี้จะเป็นภัยก็ย่อมมีตามมา และเมื่อได้ยินสื่อบางสำนักชี้นำโดยการด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบคายต่างๆ บางคน ก็ยินดีที่จะด่าว่าตาม ด้วยถ้อยคำเหล่านั้น


ผู้คน ย่อมหวาดกลัวในสิ่งที่ตนไม่เข้าใจ
ตรงนี้ ทำให้ผมนึกถึง คำคมในภาพยนตร์เกี่ยวกับฮีโร่ เรื่องหนึ่ง ที่กล่าวว่า "ผู้คน มักหวาดกลัวในสิ่งที่ตนไม่เข้าใจ" ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนั้น ได้สื่อว่า ผู้คนส่วนหนึ่งหวาดกลัวพลังที่เหนือมนุษย์ของพวกฮีโร่ ซึ่งความจริง อย่าว่าแต่ฮีโร่ในภาพยนตร์ ที่มีพลังเหนือมนุษย์เลย แม้แต่คนธรรมดา ที่มีความเฉลียวฉลาด เมื่อเขาได้แสดงออกถึงอากัปกิริยาท่าทางที่เข้าใจกันเฉพาะผู้มีสติปัญญาด้วยกัน บุคคลผู้ที่ไม่เข้าใจก็ย่อมหวาดระแวง เกรงไปว่า ผู้มีสติปัญญานั้น จะกลายเป็นพิษเป็นภัยขึ้นมา เรื่องแบบนี้ก็เคยมีมาแล้วในอดีตกาล 

และบุคคลที่ถูกหวาดระแวงเช่นนั้น ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน มโหสถบัณฑิตของเรานั่นเอง เนื้อเรื่องตอนนี้เป็นตอนท้ายๆ แล้ว ที่มโหสถบัณฑิต ได้แสดงสติปัญญาสามารถ ทำให้พระเจ้าจุลนีซึ่งเคยเป็นศัตรู กลับกลายมาเป็นมิตร และร้องขอให้มโหสถย้ายเมืองย้ายสังกัดไปอยู่ด้วย ซึ่งมโหสถก็รอจนเจ้านายเก่าตนสิ้นอายุขัยแล้ว จึงได้ไปอยู่กับพระเจ้าจุลนีตามคำร้องขอนั้น

นับแต่วันที่มโหสถมาอยู่ที่นี่ พระนางนันทาเทวี มเหสีของพระเจ้าจุลนีเห็นมโหสถก็ให้ขัดเคืองใจยิ่งนัก เพราะมโหสถได้เคยจับพระนางไว้เป็นตัวประกัน ในช่วงที่พระเจ้าจุลนี และมโหสถยังเป็นศัตรูกันอยู่ ดังนั้น พระนางจึงสั่งให้คนรับใช้ คอยติดตามตามติด เพื่อหาช่องคอยจับผิด และยุให้พระราชาแตกคอกับมโหสถให้ได้

นักบวชหญิง เภรี สนทนาภาษามือกับมโหสถ
วันหนึ่ง โอกาสก็มาถึง เมื่อนักบวชหญิงที่พระเจ้าจุลนีเคารพนับถือ ชื่อเภรี เข้าวังมา เห็นมโหสถเป็นครั้งแรก เกิดความสงสัยที่เขาร่ำลือกันว่า มโหสถเป็นยอดมหาบัณฑิต ผู้เปี่ยมสติปัญญานั้น จะจริงสมคำร่ำลือหรือไม่ ว่าแล้ว นักบวชเภรีจึงทดสอบปัญญาของมโหสถ ด้วยการส่งภาษามือเข้าสื่อสารพูดคุย โดยการแบมือออก ซึ่งหมายถึงว่า เมื่อมโหสถมาอยู่ที่นี่ พระราชาได้อุปถัมถ์ค้ำชูอย่างดีหรือไม่

มโหสถเห็นภาษามือสื่อภาษาใจเช่นนั้น จากใจก็เข้าถึงใจ จึงส่งภาษามือกลับไปให้นักบวชหญิงบ้าง ด้วยการ กำมือ ซึ่งหมายความว่า ณ ตอนนี้ พระราชายังไม่ได้พระราชทานอะไรให้เป็นพิเศษ ตามที่ทรงเคยรับปากมโหสถไว้ 

นักบวชหญิง เห็นเช่นนั้น ก็เอามือลูบศีรษะของท่านที่ไม่มีผม ซึ่งหมายความว่า "ถ้าท่านลำบากนัก ทำไมไม่บวชเหมือนเราล่ะ ชีวิตนักบวชปลอดโปร่งสบายยิ่งนัก" 
มโหสถจึงเอามือลูบที่ท้อง เพื่อสื่อความหมายว่า "ข้าพเจ้ายังมีบุตรภรรยาที่ต้องเลี้ยงดู ยังไม่อาจบวชได้"

พระนางนันทาเทวี กราบทูลพระราชาว่า มโหสถ คิดการใหญ่
จากภาษามือสื่อภาษาใจ นักบวชหญิงเภรี พึงพอใจในสติปัญญาของ มโหสถแล้วจากไป แต่ภาษามือ คนทั่วไปย่อมไม่เข้าใจ และเมื่อไม่เข้าใจ ความหวาดระแวงย่อมตามมา พวกหญิงรับใช้จึงไปกราบทูลพระนางนันทาเทวี พระนางไม่รอช้า ไปกราบพระเจ้าจุลนี ว่ามโหสถและแม่เฒ่านักบวชคิดการใหญ่ โดยส่งภาษามือต่อกัน แม่เฒ่านักบวชแบมือ ย่อมสื่อว่า ต้องจัดการพระราชาให้เหี้ยนเตียน ให้เรียบเหมือนฝ่ามือเลยทีเดียว

ส่วนมโหสถ กำมือ ย่อมสื่อว่า ต้องจับให้มั่นคั้นให้ตาย ถ้าผิดพลาดจะเป็นเรื่องได้ จากนั้น แม่เฒ่าลูกหัว หมายความว่า ต้องตัดศีรษะเลยจึงจะดี ส่วนมโหสถลูบท้อง หมายความว่า ต้องตัดขาดกลางลำตัวนั่นแหละดีที่สุด
โอ ภาษามือเหมือนกัน แต่เข้าใจกันไปคนละเรื่องเลย ดีว่าพระเจ้าจุลนีไม่ได้ทรงหูเบา แต่รอจังหวะนักบวชหญิง และมโหสถมาพบ แล้วก็สอบถามทีละคน ปรากฏว่า ทั้งสองก็อธิบายได้ตรงกัน ทำให้พระราชาพึงพอใจมาก ก็เลยพระราชทาน ตำแหน่งเสนาบดี คอยดูแลบ้านเมืองแทนพระราชา ให้แก่มโหสถสืบไป
มโหสถบัณฑิต : http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=28.0&i=600&p=12

ความไม่เข้าใจ(ในสิ่งที่บัณฑิตท่านกระทำ) ย่อมนำมาซึ่งความหวาดระแวง และดำเนินการต่างๆนาๆ ออกมา เช่น ด่าว่า หรือ ทำร้ายทำลาย แล้วแต่จังหวะและสถานการณ์ในขณะนั้น เช่น ท่านพุทธทาสภิกขุ ที่ในตอนแรก ผู้คนก็ไม่เข้าใจและหวาดระแวงตั้งแต่ชื่อของท่านเลยทีเดียว เพราะชื่อว่า พุทธทาส ถ้าแปล ก็ได้ความว่า "ทาสของพระพุทธเจ้า" ผู้คนที่ไม่เข้าใจ ก็ตำหนิติเตียนว่า ท่านตั้งชื่อเพี้ยน พระพุทธเจ้ามีพระมหากรุณา ทรงไม่ยอมให้ใครมาเป็นทาสของพระพุทธองค์เอง แน่นอน ในพระไตรปิฎกก็ไม่มีกล่าวไว้ จนเมื่อท่านได้อธิบายว่า นี่เป็นเพียงการใช้ภาษา คำว่า พุทธทาส ที่ว่าทาสของพระพุทธเจ้านั้น ความหมายของภาษาที่ต้องการสื่อ คือ หมายถึง ไม่เป็นทาสของกิเลส นั่นเอง 

การยืนแสดงปาฐกถาธรรมของท่านพุทธทาส
ยังไม่จบ ยังมีเรื่องต่อมา เพราะท่านเป็นภิกษุองค์แรก ที่นำวิธีการแสดงปาฐกถาแบบชาวตะวันตกมาใช้ นั่นคือ การยืนแสดงปาฐกถา หรือ ยืนแสดงธรรม ซึ่งในช่วงแรกผู้คนก็ไม่เข้าใจเช่นกัน และได้ต่อว่า ตำหนิติเตียนท่านเป็นอันมาก เพราะการแสดงธรรมในสมัยก่อน พระท่านต้องนั่งแสดงธรรมบนที่นั่งที่จัดไว้ดีแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อกาลเวลาผ่านไป ด้วยเนื้อหาธรรมะของท่าน เป็นเนื้อหาที่ดี ง่ายต่อการปฏิบัติตาม เช่น การฝึกละตัวกูของกู การปฏิบัติงาน คือการปฏิบัติธรรม เป็นต้น  ก็ทำให้ท่านพุทธทาส ได้รับการยอมรับ และยกย่องจากสังคมชาวพุทธยุคต่อๆมา ในที่สุด

หันกลับมาที่วัดพระธรรมกาย ผมถือได้ว่า ที่วัดเจริญเติบโตขึ้นมาได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะอาศัยท่านพุทธทาสเช่นกัน ทั้งนี้เพราะป้าถวิล(ผู้มีส่วนในการขอบริจาคที่ดินจากเจ้าภาพผู้มีจิตเป็นกุศลเพื่อสร้างวัด) จากเดิมไม่ค่อยศรัทธาในศาสนา อีกทั้งเคยมีส่วนล่วงเกินพระสงฆ์ แต่แล้วก็กลับมาศรัทธา และอยากชดเชยความผิดต่อพระศาสนา จึงได้มาร่วมกับหมู่คณะเพื่อสร้างวัด ก็เพราะได้ฟังธรรมจากท่านพุทธทาส นั่นเอง 
เรื่องราวป้าถวิลมาช่วยสร้างวัด : http://kiatikoon.blogspot.com/2016/04/blog-post_17.html 

โบสถ์วัดพระธรรมกาย
และเมื่อเป็นเช่นนี้ วัดพระธรรมกาย เลยต้องมีชะตากรรมเดียวกับท่านพุทธทาส หรือเปล่า ก็ไม่ทราบได้นะครับ เพราะตั้งแต่รูปทรงของโบสถ์ที่ไม่เหมือนวัดทั่วไป ก็ทำให้คนหวาดระแวงถึงขนาดว่า มีอาวุธร้ายแรงซ่อนอยู่ใต้โบสถ์ ต่อมา ก็หน้าตาผิวพรรณของหลวงพ่อ และพระในวัดดูผ่องใส ผู้คนไม่เข้าใจ ก็ระแวงไปว่า ใช้สบู่ก้อนละพัน หรือไปอาบน้ำแร่แช่น้ำนมมา ล่าสุดถึงขนาดบอกว่า ไปทำศัลยกรรมตกแต่งใบหน้ามา ทั้งที่ความจริง เกิดจากการทำสมาธิปฏิบัติธรรม จนจิตผ่องใส ก็เลยออกมาทางหน้าตา นั่นเอง
เต็นท์การรอบอาคารดาวดึงส์ ที่แท้ก็ห้องน้ำ และไม่ได้ไปกางรอบอาคารดาวดึงส์ด้วย
นี่มายุคนี้ เมื่อเกิดเหตุถึงขนาดมีข่าวว่า จะใช้กำลังทหาร 2พันนาย รถหุ้มเกราะไว้ปราบผู้ก่อการร้าย และโดรน เพื่อบุกเข้าไปจับท่านในวัด ครั้นพอวัดพระธรรมกายติดตั้งวัสดุบางอย่างคล้ายที่พัก อยู่ในบางจุดของวัด ด้วยความไม่เข้าใจ สื่อก็ออกว่า ไปกางเต้นท์รอบที่พักหลวงพ่อ ในเต้นท์มีอาวุธร้ายแรง ครั้นทางวัดเฉลยว่า มันคือ ห้องน้ำเคลื่อนที่ และไม่ได้ไปกางรอบที่พักหลวงพ่อ ก็เงียบไป เข้าใจแล้ว

ส่วนชาวบ้านคลองสามที่เป็นห่วงหลวงพ่อ อยากให้กำลังนำรถแทร็กเตอร์ไปจอดหน้าประตูวัด ถูกมองว่า นำมาขวางรถหุ้มเกราะ ซึ่งผมว่า ออกจะดูแคลนผู้ออกแบบรถหุ้มเกราะไปหน่อยน่ะครับ รถแทร็กเตอร์แค่นี้จะไปขวางอะไรได้ แต่เพื่อความสบายใจ ชาวบ้านก็นำออกไปแล้ว 

บอลลูนวัดพระธรรมกาย ที่ข่าวลือว่า ไว้กันโดรน จะไปกันได้อย่างไร ข่าวก็ว่ากันไปนั่น

ยังไม่จบ ทางวัดขึ้นบอลลูนหลากสี ซึ่งมักจะเห็นกันตามงานบุญใหญ่ เอาไว้บอกตำแหน่ง จะได้หากันจนเจอ เช่น จุดออกรถภาคเหนืออยู่ใต้บอลลูนสีเขียวนะ เป็นต้น แต่ข่าวก็ออกไปอีกว่า บอลลูนนี้ มีไว้กันโดรน ผมอ่านแล้วก็ขำว่า มันจะไปกันได้อย่างไร มีอยู่ไม่กี่บอลลูนเอง

ก็ไม่เป็นไรครับ ไม่เข้าใจก็ชี้แจงกันไป เข้าใจกันแล้ว ก็จะได้จบไป แต่ถ้าหากเข้าใจแล้ว แต่พยายามใส่ความสังคมด้วยเรื่องที่ไม่เป็นจริง กฏแห่งกรรม ก็พร้อมจะเริ่มต้นทำงาน และเมื่อถึงวันที่กรรมตามทัน จะไม่มีทางร้องขอลดหย่อนผ่อนโทษจากทีมยมบาลได้เลย ทั้งนี้เพราะว่า มันเลยขั้นตอนนั้นมาแล้ว นั่นเอง
วิบากกรรม ทำร้ายพระ : http://www.winnews.tv/news/2671
พระดี คนดี ย่อมไม่มีคนระแวงและคนด่าว่า จริงหรือ พระดี คนดี ย่อมไม่มีคนระแวงและคนด่าว่า จริงหรือ Reviewed by Kiat on 01:58 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.