วิสาขบูชา วันแห่งชัยชนะศาลเตี้ยสมัยพุทธกาล

วิสาขบูชา วันแห่งการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

อีกไม่กี่วัน ก็จะถึงวันสำคัญที่พวกเราเหล่าชาวพุทธพากันระลึกถึง และรอคอย นั่นคือ วันวิสาขาบูชา อันเป็นวันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเหตุการณ์สำคัญที่สุดในวันนั้น ก็คือ เหตุการณ์วันตรัสรู้ธรรม เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ พระมหาบุรุษสิทธัตถะ กลายเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปตลอดกาล ไม่คืนกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก เรื่องราวเหตุการณ์ วิสาขบูชา วันแห่งชัยชนะศาลเตี้ย จึงบังเกิดขึ้น เมื่อส่วนสูงของศาลในเวลานั้นไม่ได้มาตรฐาน มันจึงกลายเป็น ศาลเตี้ยของเหล่าเทวบุตรมาร ที่หมายจัดการพระพุทธองค์ให้สิ้นชื่อ แต่แล้วเหตุการณ์ก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทำให้พระพุทธองค์ทรงได้รับชัยชนะ 2 ครั้งเหนือ 3 โลก เป็นชัยชนะที่ไม่กลับกลายมาแพ้พ่ายอีกเลย ในวันตรัสรู้ธรรมนั้นเอง เรื่องราวของเหตุการณ์ในวันนั้น เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจที่เป็นอย่างยิ่ง

ว่าแล้ว เราก็มาเข้าเรื่อง มาติดตามเรื่องราวในวันนั้นกันเลยดีกว่า รอช้าจะเสียการ ตัด Shot มาวันตรัสรู้ธรรมเลยก็แล้วกัน ซึ่งในวันที่พระมหาบุรุษ จะตรัสรู้ธรรมนั้น หลังจากที่ร่างกายและจิตใจของพระมหาบุรุษปลอดจากเรื่องกังวลทั้งปวงแล้ว ก็ทรงนั่งขัดสมาธิอยู่ ณ ที่นั่ง ที่เรียกว่า รัตนบังลังก์ อยู่ใต้ต้นโพธิ์ แล้วตั้งสัตยาธิษฐานว่า “แม้เนื้อเลือดในกายเราจะแห้งเหือดหายไป เหลือแต่หนัง เอ็น กระดูก ก็ตามที หากยังไม่ได้บรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไซร์ เราจะไม่ลุกจากที่นั่งบังลังก์นี้เป็นอันขาด”

สิ้นคำอธิษฐานของพระมหาบุรุษ ซึ่งมันคงจะไปหนักส่วนใดส่วนหนึ่งของเทวบุตรมารเข้าให้ เพราะเขาไม่อยากให้มีใครมีอานุภาพยิ่งใหญ่กว่าตน ตรงนี้ผมว่าสำคัญ เพราะทำให้คนดีกลายเป็นคนชั่วมานักต่อนัก คือ ไม่พอใจที่ใครจะมายิ่งใหญ่กว่าตน ไม่พอใจที่ใครจะมามีชื่อเสียงเหนือตน ไม่พอใจที่ใครจะมามีคนเคารพนับถือมากกว่าตน ว่าแล้ว เทวบุตรมาร ก็รวบรวมไพล่พลทั้งหมด เรียกว่า เทหมดหน้าตัก พร้อมอาวุธหนักครบมือ ฤทธิ์เดชแพรวพราว บุกมายัง รัตนบังลังก์ที่นั่งของพระมหาบุรุษ แบบล้อมไว้ทั่วทุกสารทิศ

ส่วนเหล่าเทพเทวดา ที่ก่อนหน้านี้ได้พากันมากล่าวสรรเสริญสดุดี ดีดสีตีเป่า ไชโยโห่ร้อง ประโคมดนตรี กับวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของพระมหาบุรุษที่กำลังจะเกิดขึ้น พอเห็นกองทัพของเทวบุตรมาร ดำทมึนน่าเกรงขาม บุกมาหมดวิมานเช่นนั้น เหล่าเทวาต่างพากันขนพองสยองเกล้า ตกใจกลัว หลีบหนีกระจัดกระจาย กระเจิดกระเจิง อย่างไม่คิดชีวิตของเทวดากันไปหมดทิ้งสิ้น ทิ้งให้พระมหาบุรุษ เผชิญหน้ากับกองทัพของเทวบุตรมาร อยู่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น

เหล่าไพล่พลมารก็ยิ่งได้ใจ เปล่งเสียงข่มขู่ โห่ร้อง กึกก้อง สนั่นหวั่นไหว แผ่นดินสะท้านสะเทือนไปทั่วบริเวณ ชนิดไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า สถานที่ตรงนั้น ก่อนหน้านี้ ยังเต็มไปด้วยสรรพเสียงแห่งความยินดีปรีดา แต่แล้วก็แปรเปลี่ยนกลับกลายไปเป็นสรรพเสียงที่อึกทึกคึกโครม โกลาหล แบบตรงกันข้ามในเวลาชั่วอึดใจเท่านั้นเอง แต่แม้เหตุการณ์จะแปรเปลี่ยนกลับกลายเช่นนี้ พระมหาบุรุษก็ยังทรงสงบนิ่งตั้งมั่นไม่หวั่นไหว

เทวบุตรมาร จึงบันดาลด้วยฤทธิ์ ให้เกิดลมพายุใหญ่ ชนิดพัดภูกระดึงหายไปได้ในพริบตา แต่ลมนั้น ไม่อาจทำให้แม้จีวรของพระมหาบุรุษ สั่นไหวได้เลย เทวบุตรมาร จึงบันดาลให้มหาเมฆดำทมึนเกิดขึ้น ทำห่าฝนให้ตกลงมาจนกลายเป็นน้ำท่วมใหญ่ไหลบ่ามา ราวกับสึนามิ แต่ก็ไม่อาจทำให้จีวรพระมหาบุรุษเปียกปอนแม้แต่น้อย จากนั้น เทวบุตรมาร ก็บันดาลให้ อุกาบาต ฝนถ่านเพลิง ศาสตราวุธเครื่องประหัตประหารต่างๆ ฝนทราย ฝนโคลน และฝนน้ำกรด ตกใส่พระมหาบุรุษ แต่ก็ไม่อาจทำอันตรายใดๆ ต่อพระมหาบุรุษได้เลย ท่ามกลางก็การเอาใจช่วย อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ แต่ห่วงตัวเองมากกว่า ของเหล่าบรรดาเทพเทวาทั้งหลายที่หลบลี้หนีหน้า ไปอยู่สุดขอบจักรวาล

เมื่อเห็นว่า ฤทธิ์เดชใดๆ ของพวกตนไม่อาจทำอันตรายต่อพระมหาบุรุษได้เลย กระบวนการส่วนสูงของศาลไม่ได้มาตรฐาน จึงกลายเป็น ศาลเตี้ย ก็ถูกนำมาใช้ทันที โดยเทวบุตรมารประกาศขึ้นอย่างกึกก้องว่า “ดูก่อนสิทธัตถะ ท่านจงลุกขึ้นจากบังลังก์นี้ รัตนบังลังก์นี้ ไม่คู่ควรแก่ท่าน แต่คู่ควรแก่เราต่างหาก” ซึ่งก็ไม่ทราบว่า บังลังก์นี้ไปเป็นของคู่ควรแก่เทวบุตรมารตั้งแต่ตอนไหนนะครับ นี่ก็เป็นวิสัยของผู้เป็นใจเป็นพาลอยู่แล้ว ที่จะชอบกล่าวตู่ ออกสื่อใส่ความในสิ่งที่ไม่เป็นจริง สร้างหลักฐานเอกสารเท็จต่างๆ นาๆ ไปจนถึงใช้กำลังข่มขู่ตามประสาศาลเตี้ย เอ้อ เดี๋ยว นี่มันยุคสมัยนี้แล้ว งั้นเดี๋ยวกลับไปสมัยพุทธกาลต่อนะครับ พระมหาบุรุษในฟังคำเทวบุตรมารเช่นนั้น จึงตรัสตอบว่า “รัตนบังลังก์นี้ เกิดขึ้นด้วยบุญของเรา หาไม่ได้เกิดขึ้นได้บุญของท่านไม่ ดังนั้น เราจะไม่ยอมลุกขึ้นเป็นอันขาด”

เทวบุตรมาร ตอบว่า ที่ว่า “รัตนบังลังก์นี้ เกิดขึ้นด้วยบุญของท่านนั้น ท่านมีใครเป็นพยาน ส่วนเรามีพยานมากมาย คือ บรรดาไพล่พลเสนามารของเรานี่ไงล่ะที่เป็นพยาน” สิ้นคำของเทวบุตรมาร เหล่าเสนามารก็พากันไชโยโห่ร้องอย่างกึกก้อง สะท้านสะเทือนกันอีกครั้ง ทุกตนพร้อมเป็นพยานเท็จให้เจ้านายตนทั้งสิ้น ว่าบังลังก์นี้ ควรคู่แก่เจ้านายตน ผู้ตั้งตนเป็นผู้พิพากษาที่ไม่ได้รับเชิญ ในศาลเตี้ยแห่งนี้

ส่วนพระมหาบุรษ เหลียวซ้ายแลขวา ไม่มีใครอยู่เป็นพยานเลย ทรงนึกถึงบารมีทั้ง 30 ทัศที่ทรงบำเพ็ญมา โดยมีแม่พระธรณีเป็นพยาน แล้วทรงชี้นิ้วไปที่แผ่นดิน พลันก็บังเกิดแผ่นดินไหวสะเทือนเลือนลั่น น้ำอันเกิดจากอานุภาพแห่งบารมีของพระมหาบุรุษ ได้ผุดขึ้นมา หลั่งล้นท่วมท้นกองทัพของเทวบุตรมาร แตกพ่ายไปสิ้น แบบมาทางไหน ก็กลับไปทางนั้นทีเดียวจากนั้น พระมหาบุรุษ ก็ทรงทำสมาธิปฏิบัติธรรม ณ รัตนบังลังก์นี้ต่อไป จนตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในที่สุด นี้จึงเป็นที่มาของคำว่า ชัยชนะ 2 ครั้ง ครั้งที่หนึ่ง คือ ชัยชนะเหนือเทวบุตรมารกับเหล่าบริวาร ส่วนครั้งที่สอง คือ ชัยชนะเหนือกิเลสมาร ที่ผูกพระพุทธองค์ไว้ในวังวนแห่งการเวียนว่ายตายเกิดมานานแสนนาน จนกระดูกกองท่วมสูงยิ่งกว่าภูเขาเสียอีก
                        

จากวันนั้นสู่วันนี้ เหตุการณ์คล้ายคลึงกัน กำลังจะบังเกิดขึ้นอีกครั้ง ที่ประเทศสารขันธ์ เมื่อพระภิกษุผู้ตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นพระผู้บริสุทธิ์เจริญรอยตามปฏิปทาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กำลังจะถูกเหล่าผู้ขัดขวางคนทำความดี ตั้งคดีใหม่ที่ทับซ้อนกับคดีเดิม โดยไม่ผ่านกระบวนการพิจารณาฟ้องร้องหรือไม่ฟ้องร้องของอัยการ ตั้งเป็นศาลที่มีส่วนสูงไม่ได้มาตรฐาน หรือ ศาลเตี้ย มุ่งจัดการพระผู้บริสุทธิ์ให้หลุดออกไปจากที่นั่งของตำแหน่งเจ้าอาวาสวัด หมดสภาพจากความเป็นพระ แล้วไปอยู่ในคุกของพวกตน กะขังลืมให้สิ้นชีพคาคุกแห่งนั้นโดยมีพยานคือ เหล่าพลพรรคผู้ขัดขวางการทำความดีของพวกตน ที่จะดำเนินการในศาลเตี้ยนั้นเอง

เพียงแต่ครั้งนี้ จะต้องมีสิ่งที่แตกต่างออกไปจากครั้งที่แล้ว นั่นคือ บรรดามนุสสเทโว หรือ มนุษย์ผู้มีใจเป็นเทวดา รักความยุติธรรมทั้งหลาย จะขอปฏิบัติตนแตกต่างออกไปจากเหล่าเทวดาในสมัยพุทธกาล ที่ปล่อยให้พระมหาบุรุษ เผชิญภัยพาลอยู่ตามลำพัง แต่มนุษย์ผู้มีใจเป็นเทวดายุคนี้ จะไม่มีหลบลี้หนีหน้า ปล่อยให้พระเถระท่านต้องเผชิญหน้ากับเหล่าพาลชนทั้งหลาย ตามลำพัง แบบอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ เหมือนเหล่าเทวาทั้งปวงในสมัยก่อนอีก แต่จะเข้ามาร่วมเรียงเคียงบ่าเคียงไหล่อย่างใกล้ชิด ในวัดของพระเถระแบบไม่มีหนีหน้า แต่จะอยู่พร้อมหน้า ร่วมกับเหล่าผู้มนุษย์มีใจเป็นเทวดา คือ มีใจเป็นธรรมด้วยกัน พร้อมปกป้องปกปักรักษาพระผู้บริสุทธิ์ โดยวิธีการของอริยชน ด้วยการปฏิบัติธรรมบำเพ็ญคุณความดี ถวายบารมีนี้แด่พระเถระให้พ้นภัยพาลให้จงได้ จนกว่าจะถึงวันนั้น วันมีชัยจากความอยุติธรรมทั้งปวง


วิสาขบูชา วันแห่งชัยชนะศาลเตี้ยสมัยพุทธกาล วิสาขบูชา วันแห่งชัยชนะศาลเตี้ยสมัยพุทธกาล Reviewed by Kiat on 21:28 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.